6 แบรนด์ดัง ปังเกินคาด จากการทำการตลาดผ่าน Facebook

M150 กับการ โพสต์แบบเปิดบทสนทนา

เพียงแค่ใช้ Facebook Ads และ Posts ปกติ ก็สามารถสร้าง Engagement หรือ Comment ได้เป็น 1,000 คอมเม้นต์ โดยแค่บอกให้คนเม้นต์เชียร์คนที่เราชอบผ่านซึกมวยของไทย ผลคือ คนแห่กันเข้ามาคอมเม้นต์นักมวยที่ชื่นชอบกันอย่างล้นหลาม เพื่อให้กำลังใจในการชนะฝ่ายตรงข้าม จากการสำรวจพบว่า สื่อโฆษณาที่มีการเปิดบทสนทนาทิ้งไว้ จะสามารถ Drive Impact ได้เพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเปรียบเทียบกับการโพสต์แบบปกติ

Fanta กับการ เสริมสร้าง Culture บน Facebook

เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของ Fanta ที่อยากให้วัยรุ่นได้ทำสิ่งสนุกๆ ที่ตัวเองอยากทำ ก็เลยจัด Tools สำหรับสร้างเพลงขึ้นมาให้ชาววัยรุ่นออนไลน์ได้ใช้กัน  ถือเป็น Creator Culture ที่สุดจะสร้างสรรค์เอามากๆ อย่างที่ทราบกันดีว่า วัฒนธรรมบางอย่างบนออนไลน์ จะสามารถทำให้แบรนด์ถูกพูดถึงบนโลกออนไลน์ได้มากขึ้น เช่น  Meme Culture อย่างการที่แบรนด์เอาตัวเองไปสร้าง meme ตลกๆให้คนได้ Save และ Send Meme กันนั่นเอง

WWF (World Wildlife Fund) กับการ ใช้ Social Issue ในการ Connect

WWF ได้หยิบเอาวัน Halloween ขึ้นมาเล่นโดยการสร้าง Ads น่ากลัวๆ เพื่อพูดแทนสิ่งแวดล้อมที่พูดด้วยตัวเองไม่ได้ ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน เช่น ถ้าคนตกปลามากเกินไปแบบไม่รอฤดูกาล จะทำให้เกิดผลกระทบอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแค่หยิบประเด็นมา แล้วก็แชร์ไปมึนๆนะ อย่าลืมมองหามุมที่เหมาะกับเรา และใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปเพิ่ม ว่าเราจะเน้นย้ำประเด็นเหล่านี้ออกมายังไง เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมไปสู่ทางที่ดีขึ้น

Goibibo กับการ  แก้ปัญหาให้กับผู้คน

Travel Brand ชื่อดังอย่าง Goibibo ได้หยิบยกเอาเรื่องความกดขี่ในสังคมอินเดียเกี่ยวกับความรักขึ้นมาเล่น ซึ่งปัญหาก็คือ การที่คู่รักที่ยังไม่แต่งงานนั้น มีความลำบากในการหาห้องนอนร่วมกัน Goibibo เลยจัด Social Media Campaign เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ให้คู่รักเหล่านี้สามารถจองห้องร่วมกันได้ แม้ไม่แต่งงานเข้าพิธีตามหลักประเพณี ซึ่งบอกได้เลยว่าเจ๋งเอามากๆ

Ford กับการแก้ปมหรือประเด็นที่ติดค้างมานาน

Ford ได้หยิบเอาการ Stereotype เรื่องเพศที่ทำให้ผู้หญิงออกมาทำมากกว่าที่ตัวเองเคยทำ

ผ่านแคมเปญ Speedy Therapy ที่ทำให้คนตื่นเต้นกับอะไรใหม่ๆ พูดง่ายๆมันคือ การพลิกกลับ อะไรที่ธรรมดา พื้นๆ ให้กลายเป็นอะไรใหม่ๆ แสดงอะไรที่จริง และไม่ติดกับภาพลักษณ์เดิมๆ จนกลายเป็นประเด็นขึ้นมา เพียงเท่านี้คนก็หันมาสนใจกันแล้ว

 Stayfree กับการหาจุดประสงค์ว่าสินค้าของเรามีไว้ทำไม

แบรนด์เพื่อผู้หญิงสุดปังอย่าง Stayfree ที่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลของตัวเอง แต่ไม่ได้ใช้เพื่อขายของ แต่ทำให้มันกลายเป็น เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เหล่าสาวๆ ได้เข้ามาคุยกัน แลกเปลี่ยนบทสนทนากัน เป็นการย้ำชัดๆว่า วันนี้ตัวเอง Stand for อะไร หรือสินค้าของตัวเองตอบ Purpose อันไหนในชีวิตของลูกค้านั่นเอง